กองเซ็นเซอร์ ณ กระทรวงวัฒนธรรมลั่น ค่ายหนังอย่าซื้อหนังโหดๆ มาให้เสียเวลา เพราะหนังที่ทำลายศีลธรรมของชาติ โดนแบนแน่นอน!!?


 

นายปรีชา กันธิยะ ประธานคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ (ก�งเซ็นเซ�ร์)
นายปรีชา กันธิยะ    ประธานคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ (กองเซ็นเซอร์)

แม้พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดีทัศน์ พ.ศ. 2551 จะประกาศออกมาแล้วแต่ถึงวันนี้ “กฏกระทรวง” ที่กำหนดเพื่อสร้างฐานในการพิจารณาก็ยังไม่เห็นโฉมหน้า

ดังนั้นผู้ประกอบการภาพยนตร์ทั้ง “ไทย” และ “ต่างประเทศ” จึงต้องรับทราบด้วยว่าการกำหนดประเภทของ “ภาพยนตร์” หรือที่เรารู้กันคือ การกำหนดเรตติ้ง ก็ยังไม่สามารถทำได้

เมื่อยังไม่ได้นำมาฉายในโรงจึงมีเจ้าของภาพยนตร์หลายเรื่องที่คิดว่า คณะกรรมการฯ จะให้เรตติ้ง ได้ ส่งภาพยนตร์ที่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ควรส่งเสริมมาให้ตรวจพิจารณากันมาก

นั่นคือทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่อง ต้องถูกห้ามฉาย ด้วยข้อหาต่างกันไปไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความรุนแรง หรือเรื่องที่ ทำลายศีลธรรมอันดีงาม

หลายเรื่อง ลงทุนทำโฆษณา มากกว่าที่ลงทุนซื้อด้วยซ้ำไป แต่เมื่อนำไปพิจารณาปรากฏว่า หนังไม่ผ่าน แต่การที่เสียเงินโฆษณาไปแล้วได้สร้าง ความอึดอัด ให้กับคณะกรรมการพิจารณา

ปัญหาทุกอย่างเป็นเพราะ เจ้าของภาพยนตร์ นำภาพยนตร์มาให้พิจารณาก่อนฉายบางเรื่องเชื่อไหมว่า
ส่งเช้า เพื่อเข้าฉายเย็น….!!

“ ผมบอกเลยว่า เจ้าของหนังบางราย ไม่เห็นความสำคัญของการตรวจพิจารณา…” คณะกรรมการฯท่านหนึ่งเผยความในใจว่า “เราเห็นใจผู้ประกอบการส่วนใหญ่เข้าใจดี แต่มีส่วนหนึ่งที่ฉวยโอกาสซื้อหนังราคาแค่ไม่กี่พันบาทที่เคยต้องห้าม แล้วนำมาให้คณะกรรมการตรวจใหม่หวังจะได้เรตติ้ง จึงควรเข้าใจด้วยว่าภาพยนตร์ที่ทำลายศีลธรรมของชาติ ไม่สามารถฉายได้

“มีบางรายส่งภาพยนตร์สยองขวัญมาให้ตรวจซึ่งหากเป็นประเภทพวก “ผีหลอกจิตหลอน” แล้วก็พร้อมที่จะพิจารณาให้” คณะกรรมการฯท่านนั้นเอ่ยต่อด้วยสีหน้าเครียด “แต่อยากจะแนะเจ้าของภาพยนตร์ที่ซื้อมาจากต่างประเทศได้ทราบว่า ประเภทเกมซาดิสต์ที่คนดูนำไปเลียนแบบได้นั้นคณะกรรมการไม่ให้ผ่านแน่ นอนจึงอยากขอร้องเจ้าของภาพยนตร์ที่ซื้อมา “อย่าซื้อมาเลย” เพราะในยุคนี้ยังมีภาพยนตร์ที่ดูสนุกและสร้างความสุขอีกเยอะ เพราะคนไทยในปัจจุบันมีอาการเครียดอยู่แล้ว เมื่อนำภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเครียดมาเสนอ คนดูก็ยิ่งจะเครียดมากขึ้น จึงไม่มีใครอยากจะดูทำให้เสียเงินโฆษณาเปล่าๆ”

ก็อาจจะเป็นด้วยการพิจารณาอย่างจริงจังของคณะกรรมการฯ ทำให้ผมทราบว่า เวลานี้ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเครียดมากๆไม่ผ่านการพิจารณาแล้วก็เลยแวะไปดูหนังเรื่อง “โปรแกรมหน้าวิญญานอาฆาต” เพราะข่าวว่า ทำรายได้ดีทั้งที่บ้านเมืองอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเครียด

พอดูแล้วทำให้เกิดความสบายใจและเข้าใจในการทำงานของคณะกรรมการฯ ที่บอกเราว่าภาพยนตร์แนวผีหรือหนังสยองขวัญหากผ่านการพิจารณาแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรสามารถดูได้อย่างสบายใจ

หากจะมีความเครียดอยู่บ้างน่าจะเป็นความเครียดของ “พวกค้าเทปผีซีดเถื่อน” มากกว่าเพราะ “โปรแกรมหน้าวิญญานอาฆาต” คือเป็น ความอาฆาต ของ “ผู้สร้าง” ที่มีต่อผู้ประกอบอาชีพ “ก๊อบปี้ภาพยนตร์” หรือผู้ที่นิยมการ “ละเมิดลิขสิทธิ์” เพื่อนำไปขายอย่างผิดกฎหมายเรียกว่า ใครทำหนังผี ต้องเป็นผีทุกคน….!!

แต่ถ้าเรื่องนี้ ไม่ได้ผล เรื่องหน้าควรสร้างให้ ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ ตายกันซะบ้างก็ดี..!!

จากบทความของ วิภา วดี หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551

…………………….


จากบทความนี้ ชี้ให้เห็นได้ว่า ขณะนี้ คณะกรรมการทั้งเจ็ดคน ที่ไม่ได้มาจากการคัดเลือกของประชาชน หรือแม้แต่จะมาจากการคัดสรรที่สมบูรณ์ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 (เนื่องจากเป็นคณะกรรมการที่แต่งตั้งมาโดยรัฐมนตรี ที่ใช้อำนาจตามที่บทเฉพาะกาลได้กำหนด แต่งตั้งขึ้นมา ก่อนที่จะมีคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติชุดสมบูรณ์ที่มีทั้งคนจากภาครัฐและเอกชน) มองว่าตนเป็นผู้ชี้ชะตา และกำหนดว่า ศีลธรรม และวัฒนธรรมอันดีนั้น คืออะไร และใช้อคติของตนเอง ในการตัดสินแทนประชาชนชาวไทย ในทุกชนชั้น กว่า 60 ล้านคนทั่วประเทศ

อีกทั้งต้องอย่าลืมด้วยว่า พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ความจริงแล้ว ไม่ได้ต่างจากกฎหมายเจ็ดชั่วโคตร (ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนตัว) หรือกฎหมายหวยบนดิน(ร่างพระราชบัญญัติสลากกินแบ่ง) เนื่องจากพรบ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฉบับนี้ ได้ผ่านการพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยที่ไม่ครบองค์ประชุุม ซึ่งในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติให้กฎหมายทั้งสองฉบับเป็นโมฆะ ไม่สามารถบังคับใช้ได้

อนึ่ง สำหรับภาพยนตร์ที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวมีความเห็นว่า ทำลายศีลธรรมของชาติและไม่ให้ฉาย ก็อาทิ SAW V, Frontier(s), Scar 3D, Funny Games และ Halloween เป็นต้น

10 responses

  1. เครียดทั้งความคิดของกองเซ็นเซอร์
    และเครียดทั้งความคิดของคนที่เรียกตนเองว่า “สื่อ” อย่าง วิภา วดี….

    ไม่รู้จะพูดอะไรอีกดี เพราะก็คงเป็นคำพูดเดิมๆ วนไปวนมา
    จะไม่ให้พูดซ้ำได้ไง ก็ในเมื่อเขายังทำตัวเหมือนเดิม – -*

  2. ขอถามหน่อยคุณดูหนังเป็นหรือเปล่า หนังไทยหลายเรื่องไม่มีสารระแก่นสารอะไร ได้ฉาย ผมว่าคุณไร้สาระกว่าหนังพวกนี้เสียอีก

  3. ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าหนังที่ทำแล้วมีสาระมันเป็นอย่างไง ลองทำมาให้ดูหน่อยซิ เห็นละครหลายเรื่องที่ได้รางวัล
    สร้างสรรค์สังคม ก็เป็นละครแบบจงใจทำแบบไม่คิดอะไรมาก บางฉากก็ยังมีฉากที่ไม่สมควรจะมีอยู่ อย่างเช่น แย่งแฟน
    ไปติดยาเสพย์ติด เป็นต้น ถ้าเด็กที่ดูไม่ถึงบทสรุปของเรื่อง เด็กก็จะเห็นว่าดีเหมือนกัน ก็เหมือนกับหนังเรื่อง saw ถ้าไม่คิดก็จะไม่ได้สาระจากหนังเหมือนกัน ถามหน่อยว่าสมองคุณเคยใช้บ้างหรือเปล่าอยากทราบจริงๆ

  4. อย่างที่ได้รับทราบข่าวกันมาแล้วอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

    ความกระด่างของคณะกรรมการทั้ง 7 ที่ได้ทำหน้าที่ของตัว อย่างสมบูรณ์แบบ (มันพูดเอาเองหมด)

    มันสื้อให้พวกเราได้เห็นแล้วว่า จำเป็นไหมที่พวกมันทั้ง 7 จะต้องมาค่อยพิจารณาหนังทั้งหมด

    กลับกลายเป็นว่าถ้าหน้าหนังไหนออกแนวอื่น ๆ ที่ผิดศืลธรรมตามที่มันว่า

    ผมว่าหนังทุกเรื่องก็คงเข้าข่ายหมดแน่นอน เอาเป็นว่า บ้านเรากำลังจะตามประเทศจีนไปแล้วครับ

    วัน ๆ ดูแต่ สิ่งปลุกใจ หาฝ่าย หาพวก เอามาให้ดู กันแล้วก็ดึงกันไปทำห่าอะไรที่มันเลว ๆ

    เอออ คงได้เจริญกันหรอกนะ บ้านเมืองไทย

  5. กบว โชว์ กึ๋น ตูล่ะเซ็ง…ไอ้ไดโนเสาร์ 7 ตัวแผลงฤทธิ์แล้ว!!!

    ป.ล. ผมเอาบทความนี้ไปลงที่บอร์ด siamZone นะครับใครเครดิทเรียบร้อย (ทำรูปเพิ่มให้ด้วย…)
    http://www.siamzone.com/board/view.php?sid=696981

  6. น่าเอารูป7ไดโนเสาร์มาลงให้ครบ เดินไปในเจอจะได้เข้าไปด่าซะหน่อย

  7. แด่กองcenจนเซ่อสุดห่วย

    แค่เห็นหน้า หัวขบวน ก้อพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมวงการภาพยนตร์ โดยเฉพาะภาพยนตร์ไทย ถึงไม่เจริญซักที เพราะมีพวกหัวโบราญเต่าล้านปีแบบนี้นี่เอง เสียดายเห็นหน้าแค่ตัวเดียว น่าจะเห็นครบทีมจาได้รู้ว่า อ๋อไอ่หน้าแบบนี้เอง ที่ในหัวมีสมองเล็กเท่าเม็ดถั่ว เหอๆๆ

  8. แล้วพวกเทรนด์หนังเกาหลี ซีรี่ส์ บ้าดาราของเค้า ไม่ทำไรเห็นเป็นธรรมดาใช่มั้ย?
    หนังโหดๆแล้วไง คนดูเค้าจะทำตามเหรอ คนไทยบางมุมมันยังมีเสื่อมกว่านั้นหลายเท่านัก ไม่ยอมรับความจริง
    จริยธรรมนักการเมืองการปกครองเอ่ยกันตอนเป็นฝ่ายค้าน
    ปัญหาก็มาจากตัวพวกคุณๆทั้งนั้น ทีวัฒนธรรมห่าเหวอะไร จับมงจับมือเอาเป็นล่ำเป็นสัน คนเค้าคิดเองเป็นโว้ยไม่ต้องช่วยร้อกก..

  9. อนิเมะก็เหมือนกันครับ
    ผมบอกตรงๆเลย
    “คุณมันโง่”
    ไม่เข้าใจอารมณ์อนิเมะเหรอ
    ถึงนามิมันจะนุ่งน้อยห่มน้อย
    ถึงซันจิมันจะสูบบุหรี่
    ถึงตัวละครบางตัวมันจะใช้ดาบใช้ปืนสู้กัน
    แต่มันไม่ได้เสริมสร้างจินตนาการขนาดนั้น
    ไม่ได้ดึงดูดให้เด็กไทยไปตามซะหมดทุกอย่าง
    และที่อาการหนักกว่านั้นคือ
    เซ็นเซอร์ขวดโคล่าของแฟรงกี้
    เซ็นเซอร์ใต้รองเท้าโนบิตะ
    เซ็นเซอร์คางชินเอม่อนซัง
    เซ็นเซอร์เขามนุษย์ต่างดาวนิโคจัง
    เซ็นเซอร์อะไรอื่นๆที่ไม่จำเป็น
    ที่ทำมานี่เหนื่อยมั้น จะไม่ให้เยาวชนเขาได้คิดวิเคราะห์แยกแยะเองบ้างเหรอ
    เยาวชนเติบโตและเรียนรู้ได้มากกว่าที่คุณคิดนะ
    แล้วแบบนี้จะมีคำเตือนและการจัดเรทรายการไว้ทำเกลืออะไร
    สุดท้ายจำไว้นะ เด็กมันจะเหี้ยมันก็เหี้ยที่ตัวเด็กล่ะครับ
    “โง่”

  10. กานดา มูลทรัพย์

    เนื่องจากได้ดูสารคดีเกี่ยวกับอวัยวะภายในของร่างกาย แต่พบว่ามีการเซ็นเซอร์ อยากทราบว่าคิดอะไรอยู่คะ คือเราต้องการดูเรื่องเหล่านี้เพื่อเป็นความรู้ ต้องการเห็นภาพ แต่คุณกลับเบลอภาพเหล่านั้น ทำให้การศึกษาในเรื่องของสารคดีนั้นๆ เกิดความขัดแย้ง และขัดอารมณ์มาก
    บางครั้งรวมไปถึงการดู series อย่างเช่น CSI มันเปนซีรีส์กึ่งๆ ความรู้ เหตุใดให้จัดประเภทไว้ที่ทั่วไป แต่เบลอภาพ หรือเปลี่ยนเปนขาวดำเวลาที่เป็นภาพของอวัยวะภายในที่ในหนังเค้ากำลังวิเคราะห์สาเหตุ (เข้าใจใช่มั้ยคะว่ามันเป็นความรู้ แล้วเซ็นเซอร์เพื่อ?!?) ถ้าคุณเป็นห่วงว่าเด็กจะดู แล้วสับสน ทำไมไม่ให้จัดเรทเป็นแบบของผู้ใหญ่ แล้วจะได้ไม่ต้องเซ็นเซอร์คะ แต่เอาจิงๆ เรื่องแบบนี้มันคือความรู้ แต่คุนกลับไม่ให้ดู (ปิดๆบังๆ) มันใช่หรือคะ
    เรื่องบางเรื่องการปิดบังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่การให้ดู แล้วมีการอธิบายเพื่อให้ผู้ที่ไม่ทราบได้เข้าใจ มันจะเป็นการดีกว่ามั่ยคะ
    กรุณาอย่าตีค่ามันสมองของคนในชาติว่าเป็นแค่เด็กอนุบาล กรุณาให้เกียรติความคิด และสมองของคนอื่นด้วย การเบลอหน้าอก คนใส่กระโปรงสั่น เหล้า บุหรี่ ไม่ได้ทำให้เรื่องเหล่านี้ไม่เกิด แต่เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น และถูกพบเห็นเป็นประจำ มันไม่ใช่ว่าคุณไม่ให้เค้าเห็นก้อจะแปลว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นนะคะ แต่การอธิบายให้เด็กรับรู้และเข้าใจนั้น สำคัญกว่าการปิดบัง เปรียบได้กับการรณรงค์การใช้ถุงยางเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับว่าเป็นการป้องกันการท้องก่อนวัยอันควร ไม่ใช่การปิดตาเด็กๆ ไม่ให้รู้หรือเข้าใจเรื่องเพศ แล้วการท้องก่อนวัยอันควรจะไม่เกิดขึ้นอย่างนั้นแหล่ะ
    สิ่งที่ควรทำคือการให้ความรู้ ความเข้าใจ มากกว่าการปิดหูปิดตา
    อยากให้ผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเรื่อเหล่านี้ คิด และพิจารณา ตลอดจนให้เกียรติมันสมองของคนในชาติบ้าง ส่วนละครไทยที่มีแต่เรื่องตบตี ใช้ความรุนแรง แย่งผู้ชาย แย่งสมบัติเรี่ย ทำออกมาให้มันน้อยๆ หน่อยหรือไม่ก้อให้เซ็นเซอร์เรื่องเหล่านี้บ้างก็จะดีกว่านะคะ ทีเรื่องแบบนี้ไม่ยักกะเซ็นเซอร์ ไม่ทราบเห็นกันบ้างมั้ยว่าเด็กสมัยนี้ทำตามแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้ ตบแย่งผู้ชายไม่คิดหรือว่ามันเป็นเรื่องน่าอายที่สุด
    หวังว่าทางผู้ใหญ่ของบ้านเมืองหรือผู้ที่รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ช่วยพิจารณาด้วย
    ขอแสดงความนับถือ

ใส่ความเห็น